แบบการเรียนรู้ (Learning
Styles)
แบบการเรียนรู้ (Learning
Styles)
คำว่า Learning Styles ในคำภาษาไทยใช้คำว่า ลีลาการเรียนรู้ หรือแบบการเรียนรู้
หรือวิธีการเรียนที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หลักสูตร ซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญา
ลักษณะเฉพาะของผู้เรียนและสภาพแวดล้อมทางการ
แบบการเรียนรู้ (Learning Style) เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในบริบทของการเรียนรู้
อาจกล่าวได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยกลวิธีหรือวิธีการที่สนองตอบกับความต้องการของผู้เรียน
โดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเอง
ไรซ์แมนและกราส์ซา และเดวิด เอ คอล์บ ได้เสนอแบบการเรียนรู้ สรุปได้
ดังนี้
Anthony F. Grasha and Sheryl Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University, 20
จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6 แบบ คือ
1. แบบอิสระ (Independent Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเอง แสวงหาความรู้และ
ประสบการณ์ด้วยตนเอง จะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสำคัญ
เชื่อมั่นในความสามารถการ เรียนรู้ของตนเอง แต่ก็รับฟังความเห็นของผู้อื่น
2. แบบหลีกเลี่ยง
(Avoidance Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้ ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
3. แบบร่วมมือ (Collaboration Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทำงานร่วมกันกับผู้อื่น
เรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถือห้องเรียนเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้
เนื้อหาวิชาตลอดจนกิจกรรมนอกหลักสูตร
4. แบบพึ่งพา (Dependent Style) ) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคำบอกเล่าว่าต้องทำอะไร
อย่างไรและเมื่อไร ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการรับคำสั่ง หรืองานที่มอบหมาย
อาจารย์และเพื่อนจะเป็นแหล่งความรู้
มีความต้องการเรียนรู้เฉพาะจากสิ่งที่กำหนดให้เรียนเท่านั้น
5. แบบแข่งขัน (Competitive Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทำให้ดีกว่าคนอื่น
ผู้เรียนค้นหาความรู้โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆ
ให้ได้ดีกว่าคนอื่น ใช้หลักในการเรียนรู้
เรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีกว่าเพื่อนในชั้นเรียน ต้องการรางวัลในชั้นเรียน เช่น
คำชม หรือวิ่งของ หรือคะแนน มีลักษณะการแข่งขันแบบแพ้ชนะ
6. แบบมีส่วนร่วม
(Participant Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมากที่สุดในกิจกรรมในชั้นเรียน
ผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียน
แต่ไม่ต้องการจะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
Divil A. Kols (1995 อ้างในคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ, 2543 : 19-20)
จัดกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. แบบนักปฏิบัติ
(active experimentation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดี
เมื่อได้ลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้เกิดจากการกระทำควบคู่ไปกับการคิด
2. แบบนักสังเกต (reflective observation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้จากการสังเกตปรากฏการณ์
ต่าง ๆ แล้วนำมาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
3.
แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract conceptualization) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยวิเคราะห์
และสังเคราะห์ การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
4.
แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete experience) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยการ
วิเคราะห์ และประเมินด้วยหลักเหตุผล
McCarthy (อ้างในศักดิ์ชัย นิรัญทวีและไพเราะ พุ่มมั่น, 2542 : 7-11) ได้ขยายแนวคิดของคอล์บ โดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบ
ดังนี้
แบบที่ 1
เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative
learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกต
นำไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผล ผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึง เหตุผลว่า ทำไม (why) ผู้เรียนมักถามว่า ทำไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้
จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อน สิ่งอื่น ๆ
แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไร โดยเฉพาะเรื่อง ความเชื่อ
ค่านิยม ความรู้สึก ชอบขบคิดปัญหาต่าง ๆ ค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเอง
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อ อภิปราย โต้วาที ใช้กิจกรรมกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียน หรือระหว่างเรียน
แบบที่ 2
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic
learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวล ข้อมูล
โดยนำสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง คำถามที่สำคัญคือ อะไร (what) ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเหมาะสม
เพื่อนำไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรือจัดระบบระเบียบของความคิด
ผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้น รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
จะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการเท่านั้น ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่า
จะต้องเรียนอะไร อะไรที่เรียนได้ สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยาย การทดลอง
การทำรายงาน การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
แบบที่ 3
เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสำนึก (common sense
learners) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่าน กระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรม
กระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริง มีการมองหา
กลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนำไปใช้ คำถามที่สำคัญคือ อย่างไร (how) ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบทฤษฎีหรือปฏิบัติจริง
โดยวางแผนนำความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในชีวิตจริง
ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติ
ใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่
สนใจที่จะนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง อย่างไร
รูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือ การทดลอง การให้ปฏิบัติจริง
ทำจริงหรือสถานการณ์จำลองก็ได้
แบบที่ 4
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน (dynamic
learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรมและผ่านการกระทำ
คำถามที่สำคัญคือ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ (If) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ
และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำ
แล้วนำข้อมูลมาประมวลเป็นความรู้ใหม่
ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้ สามารถสร้างผังความคิด
แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนำเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอนแบบค้นพบด้วยตนเอง
(self discovery method)
แบบการเรียนรู้ (learning styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้น
ไม่อาจจำแนกได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่ง
ดังที่การ์ดเนอร์ (howard gardner) ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา
(multiple intelligence theory) 8 ด้าน คือ
ด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านมิติสัมพันธ์
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านการรู้จักตนเอง ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
และด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญา
หนึ่งด้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุด โดยปกติผู้สอน
ทดสอบ และการ ได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้าน คือ ภาษา (verbal/linguistic) และเหตุผล (logical/mathematical)
การนำแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้คุณลักษณะเด่นของสติปัญญา
เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ประการสำคัญผู้สอนต้องคำนึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ
มีผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้ ดังนั้นผู้สอนจำเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching style) ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุม
ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตามศักยภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น